เครื่องมือการตลาดดิจิทัลที่อาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ในปัจจุบัน เปลี่ยนวิถีการทำงานของนักการตลาดไปอย่างสิ้นเชิง ระบบข้อความอัตโนมัติถูกนำมาแทนที่การจ้างพนักงานมาตอบคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระบบหลังบ้านที่ช่วยให้การซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่นไม่สับสน จึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดดิจิทัลต้องคอยอัปเดตอยู่เสมอ เพื่อหาตัวช่วยที่ใช่สำหรับการทำงานมากที่สุด
1. KEYWORDS TOASTER
โปรแกรมสำหรับการทำ SEO ช่วยในการสร้างคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ที่จะช่วยให้โฆษณาปรากฏขึ้นตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานที่ค้นหาสิ่งที่ต้องการใน Search Engine ต่าง ๆ ทำให้การเลือกใช้คำสำคัญในบทความหรือในข้อความโฆษณาถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น
ในโปรแกรมนี้จะประกอบด้วย 4 ฟังก์ชันหลัก คือ
1) Wrapper (แสดงลักษณะของคำสำคัญที่แตกต่างกัน 4 แบบ คือ Broad Match, Phrase Match, Exact Match, Broad Modified)
2) Mixer (แสดงคำที่จะแสดงผลควบคู่กันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง)
3) Typoer (แสดงความเป็นไปได้ที่จะพิมพ์คำผิด)
4) Inspirer (แสดงคำสำคัญอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกัน หรือมีผู้ค้นหาร่วมกันจำนวนมาก)
แต่จะยิ่งง่ายไปกว่าเดิมเพราะเมื่อกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา Google Ads ปรับปรุงระบบให้การจับคู่คำสำคัญมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะซื้อโฆษณาด้วย Keyword Matching รูปแบบใด ระบบก็จะช่วยประมวลผลคำค้นหาที่ความหมายคล้ายคลึงกัน เพื่อแสดงผลโฆษณาของเราขึ้นบนหน้าจอ
2. RETRIEVE FACEBOOK COMMENT SYSTEM
ระบบรวบรวมคอมเมนต์สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งเราใช้ฟังก์ชันพื้นฐานของโซเชียลมีเดียในการซื้อขายสินค้ากันบนหน้าฟีดส์ เช่นการคอมเมนต์ CF ใต้ภาพสินค้า หรือพิมพ์เลขในคอมเมนต์เพื่อสั่งซื้อสินค้าระหว่างการ Live
ปัจจุบันจึงมีปลั๊กอินหลากหลายเจ้า ที่มาช่วยทำให้การรวบรวมคอมเมนต์ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ลดการตกหล่นของคำสั่งซื้อ รวมถึงป้องกันความผิดพลาดในการจัดส่งสินค้าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น PAGE365, Shoplus, xCommerce, Firelab และอีกมากมายที่จะช่วยให้ระบบหลังบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ลดภาระในการจัดการได้มากขึ้น
3. GOOGLE ANALYTICS
เครื่องมือรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติของเว็บไซต์ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ที่เรียกว่า ABC Report ซึ่งหมายถึง Audience บอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้ามาใช้งาน Acquisition บอกว่าผู้ชมเว็บไซต์มาจากช่องทางใด Behavior บอกพฤติกรรมของผู้ชมเว็บไซต์ และ Conversions บอกเปอร์เซ็นต์การไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
เริ่มต้นใช้งานง่าย ๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงสมัครแอคเคาน์ด้วย Gmail จากนั้นก็เริ่มใช้งานได้ทันที ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ในรายงานเหล่านี้ เมื่อนำมาประมวลผลและวิเคราะห์ต่อก็จะช่วยให้สามารถปรับปรุงการออกแบบระบบการซื้อขาย การเพิ่มโฆษณาในช่องทางอื่นๆ ไปจนถึงการออกแบบประสบการณ์การใช้งานให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจมากที่สุด
4. OMNISEND
เครื่องมือการตลาดที่ช่วยให้นักการตลาดดิจิทัล ออกแบบประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างละเอียด ผ่านการทำ Welcome E-Mail Workflow ทั้งยังออกแบบแคมเปญการตลาดที่ครอบคลุมไปถึงโซเชียลมีเดีย SMS หรือแอปพลิเคชัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องกันอย่างราบรื่นอีกด้วย
Omnisend จะมีแผนผังให้เลือกกำหนดช่วงเวลาในการสื่อสาร กำหนดเนื้อหา และแพลตฟอร์มที่ใช้ ทำให้เห็นภาพรวมของประสบการณ์ผู้รับสาร ว่าจะไม่ได้รับถี่เกินไปจนรำคาญ หรือทิ้งช่วงห่างไปจนไม่อาจกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า และที่สำคัญคือความเป็นอัตโนมัติที่ช่วยแบ่ง Segment ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้ทุกอีเมล ทุกข้อความที่ส่งไปถึงเต็มไปด้วยความหมายที่ตอบโจทย์การตลาด
5. CHATFUEL
เครื่องมือช่วยออกแบบแชตบอต เพื่อช่วยตอบคำถามที่พบบ่อย แนะนำสินค้าเบื้องต้นผ่านแชต ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมช่างเจรจาของนักช้อปชาวไทย ซึ่งแม้ภาพโฆษณาจะมีราคาติดไว้ มีข้อมูลบอกไว้แล้ว แต่ก็ยังเลือกจะส่งข้อความผ่านแชตมาสอบถามเพื่อความมั่นใจ ผู้ประกอบการมือใหม่ นักการตลาดรุ่นใหม่จึงไม่ต้องคอยนั่งตอบคำถามเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน แต่สามารถออกแบบแชตบอตให้มาช่วยตอบข้อความแทนได้ด้วยตนเอง
CHATFUEL ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย มีเท็มเพลตให้เลือกใช้ปรับแต่งได้ตามต้องการ หลักการทำงานง่ายๆ คือการออกแบบให้ Block แต่ละส่วนเชื่อมโยงไปยังคำตอบ หรือลิงก์ไปสู่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ปัจจุบันสามารถใช้กับโปรแกรม Facebook Messenger, Slack และ Telegram
รู้จักเครื่องมือที่ช่วยตอบโจทย์นักการตลาดดิจิทัลแล้ว ต้องไม่พลาดหลักการดี ๆ ที่จะเพิ่มศักยภาพที่มีอยู่ให้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปกับหลักสูตรการบริหารการตลาดดิจิทัล Mini MBA - Digital Marketing Management ติดตามรายละเอียดหลักสูตรได้ที่ https://www.neobycmmu.com/digital-marketing-mangement
Comments